เมนู

ทุติยปัณณาสก์


นีวรณวรรคที่ 1


1. อาวรณสูตร


ว่าด้วยนิวรณ์ 5 อย่าง


[1] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้น
ทูลรับสนองพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย นิวรณ์เครื่องกางกั้น 5 ประการนี้ ครอบงำจิตแล้ว ทำปัญญา
ให้ทุรพล ประการเป็นไฉน คือ นิวรณ์เครื่องกางกั้น คือ กามฉันทะ 1
นิวรณ์เครื่องกางกั้น คือ พยาบาท 1 นิวรณ์เครื่องกางกั้น คือ ถีนมิทธะ 1
นิวรณ์เครื่องกางกั้น คือ อุทธัจจกุกกุจะ 1 นิวรณ์เครื่องกางกั้น คือ วิจิกิจฉา 1
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นิวรณ์เครื่องกางกั้น 5 ประการนี้แล ครอบงำจิตแล้ว
ทำปัญญาให้ทุรพล ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นไม่ละนิวรณ์เครื่องกางกั้น
5 ประการนี้ อันครอบงำจิต ทำปัญญาให้ทุรพลแล้ว จักรู้จักประโยชน์
ของตน ประโยชน์ของผู้อื่น ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย หรือจักทำให้แจ้งซึ่ง
ญาณทัสสนะอันวิเศษ สามารถกระทำความเป็นอริยะ ยิ่งกว่าธรรมของมนุษย์
ด้วยปัญญาที่ไม่มีกำลัง ทุรพล ข้อนี้มิใช่ฐานะที่จะมีได้ เปรียบเหมือนแม่น้ำ
ที่ไหลลงจากภูเขา ไปสู่ที่ไกล มีกระแสเชี่ยว พัดสิ่งที่จะพัดไปได้ บุรุษพึง
เปิดปากเหมืองแห่งแม่น้ำนั้นทั้งสองข้าง เมื่อเป็นเช่นนี้ กระแสน้ำในท่ามกลาง
แห่งแม่น้ำนั้น ก็ซัด ส่าย ไหลผิดทาง ไม่พึงไหลไปสู่ที่ไกล ไม่มีกระแสเชี่ยว

ไม่พัดสิ่งที่พอจะพัดไปได้ ฉันใด ภิกษุนั้นก็ฉันนั้นเหมือนกันแล ไม่ละ
นิวรณ์ เครื่องกางกั้น 5 ประการนี้ อันครอบงำจิต ทำปัญญาให้ทุรพลแล้ว
จักรู้ประโยชน์ตน ประโยชน์ผู้อื่น ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย หรือจักทำให้แจ้ง
ซึ่งญาณทัสสนะอันวิเศษ ลามารถกระทำความเป็นอริยะ ยิ่งกว่าธรรมของมนุษย์
ด้วยปัญญาอันไม่มีกำลัง ทุรพล ข้อนั้นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นละนิวรณ์ เครื่องกางกั้น 5 ประการนี้
อันครอบงำจิต ทำปัญญาให้ทุรพลแล้ว จักรู้ประโยชน์ตน ประโยชน์ผู้อื่น
ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย หรือจักทำให้แจ้งซึ่งญาณทัสสนะอันวิเศษ สามารถ
กระทำความเป็นอริยะ ยิ่งกว่าธรรมของมนุษย์ ด้วยปัญญาอันมีกำลัง ข้อนี้
เป็นฐานะที่จะมีได้ เปรียบเหมือนแม่น้ำที่ไหลลงจากภูเขาไปสู่ที่ไกล พัดสิ่งที่
พอจะพัดไปได้ บุรุษพึงปิดปากเหมืองแห่งแม่น้ำนั้นทั้งสองข้าง เมื่อเป็นเช่นนี้
กระแสน้ำในท่ามกลางแม่น้ำนั้น ก็จักไม่มี ไม่ส่าย ไหลไม่ผิดทาง พึงไหล
ไปสู่ที่ไกลได้ มีกระแสเชี่ยว และพัดในสิ่งที่พอพัดไปได้ ฉันใด ภิกษุนั้น
ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล ละนิวรณ์เครื่องกางกั้น 5 ประการนี้ อันครอบงำจิต
ทำปัญญาให้ทุรพลแล้ว จักรู้ประโยชน์ตน ประโยชน์ผู้อื่น ประโยชน์ทั้งสอง
ฝ่าย หรือจักทำให้แจ้งซึ่งญาณทัสสนะอันวิเศษ สามารถกระทำความเป็นอริยะ
ยิ่งกว่าธรรมของมนุษย์ ด้วยปัญญาอันมีกำลัง ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้.
จบอาวรณสูตรที่ 1

ทุติยปัณณาสก์


นีวรณวรรควรรณนาที่ 1


อรรถถกถาอาวรณสูตร


พึงทราบวินิจฉัยในอาวรณสูตรที่ 1 แห่งทุติยปัณณาสก์ ดังต่อไปนี้:-
กิเลสทั้งหลายชื่อว่า อาวรณะ เพราะอำนาจปิดกั้น. ที่ชื่อว่า นิวารณะ
เพราะมีอำนาจกางกั้น. บทว่า เจตโส อชฺฌารุหา แปลว่า อันท่วมทับจิต
กิเลสชื่อว่า ทำให้ปัญญาหดถอยกำลัง เพราะกระทำวิปัสสนาปัญญาและ
มรรคปัญญาให้เสื่อมกำลัง ด้วยอรรถว่ากางกั้นมิให้เกิดขึ้น. อีกประการหนึ่ง
ชื่อว่า ทำปัญญาให้หดถอยกำลัง เพราะปัญญาที่คลุกเคล้าด้วยกิเลสเหล่านี้
เกิดขึ้น กิเลสเหล่านั้นทำปัญญานั้นเสื่อมกำลัง ดังนี้ก็มี. บทว่า อพลาย
ความว่า ชื่อว่าปราศจากกำลัง เพราะถูกนิวรณ์ 5 รึงรัดไว้. บทว่า อุตฺตรึ
วา มนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสสํ
ความว่า ซึ่งญาณทัสสนะ
วิเศษที่สามารถกระทำความเป็นพระอริยเจ้าให้ได้ยิ่งไปกว่ามนุษยธรรมกล่าว
คือกุศลกรรมบถ 10 อย่าง.
บทว่า หารหาริณี คือ สามารถจะพัดพาสิ่งที่พอจะพัดพาไปได้.
บทว่า นงฺคลมุขานิ แปลว่า ปากเหมือง เพราะชนทั้งหลายเรียกปากเหมือง
เหล่านั้นว่า นังคลมุขานิ เพราะเหตุที่เขาเอาไถขุด ไถลงไปทำให้เป็นเหมือน
รอยไถไว้. ในบทว่า เอวเมว โข นี้ วิปัสสนาญาณพึงเห็นเป็นเหมือน
กระแสน้ำ เวลาที่ภิกษุละเลยสังวรในทวารทั้ง 6 พึงเห็นเหมือนเวลาเปิดปาก-
เหมืองทั้งสองข้าง เวลาที่ภิกษุถูกนิวรณ์ทั้ง 5 รึงรัดไว้ พึงเห็นเหมือนเวลา
ที่เมื่อเขาตอกหลักตันไม้กลางแม่น้ำแล้ว ทำทำนบกั้นด้วยใบไม้แห้ง หญ้าและ